หนึ่งสัปดาห์จากนี้บรรยากาศเกมฟาดแข้งของทวีปยุโรปจะเปลี่ยนเป็นแมตช์ทีมชาติล้วน ๆ ที่เกริ่นว่าต้องกดปุ่มสยอง เพราะว่าครั้งที่แล้วในเดือนกันยายน ขณะที่กองทัพ "ปีศาจแดง" เปิดฉากฤดูกาลใหม่อย่างฮึกเหิม ด้วยการกวาดชัยในพรีเมียร์ลีก 3 แมตช์รวด เป็นของขวัญต้อนรับนายใหม่ โชเซ่ มูรินโญ่ ในห้วงเวลาที่เครื่องกำลังร้อน กลับมีโปรแกรมทีมชาติมาคั่นกลางในช่วงต้นเดือนกันยายนและกลายเป็นจุดผกผันสำคัญ โดยเมื่อกลับมาเล่นบอลลีก ไม่รู้ด้วยสาเหตุจากความอ่อนล้าหรือกรอบเพราะกรำศึกหนักมากเกินไป ฟอร์มของ "ปีศาจแดง" ช็อตไปเฉย ๆ เริ่มต้นจากการเสียท่า "เรือใบสีฟ้า" แมนซิตี้ในแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ คาบ้าน 1-2 ต่อเนื่องด้วยความพ่ายแพ้ที่บ้าน เฟเยนูร์ดในถ้วยยุโรป 0-1 เท่านั้นไม่พอปิดท้ายด้วยการเพลี่ยงพล้ำแบบพลิกล๊อคต่อ วัตฟอร์ดด้วยสกอร์ขาดลอย 1-3 ลูกทีมของ มูรินโญ่ต้องใช้เวลาถึง 3 เกมหลังผ่านโปรแกรมทีมชาติ เพื่อตั้งหลักกลับสู่เหตุการณ์ปกติ โดยปลดล๊อคช่วงขาลงด้วยการบุกต้อน นอร์ทแฮมป์ตัน 3-1 ในถ้วย ลีก คัพ อีกจุดผกผันคือการตัดสินใจครั้งสำคัญของ มูรินโญ่ ที่สั่งดร็อบกัปตันทีม เวย์น รูนี่ย์ออกจากผัง 11 ตัวจริง ซึ่งได้ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ เมื่อเป็นฝ่ายไล่ขย้ำแชมป์เก่า เลสเตอร์ 4-1 จนกระทั่งสุดสัปดาห์ล่าสุดพลพรรค "เร้ด เดวิลส์" สะดุดขาตัวเองอีกครั้ง เมื่อทำได้แค่เปิดบ้านเสมอ สโต๊ค 1-1 จากผลงานที่ขาดความต่อเนื่อง ทำให้ มูรินโญ่เริ่มถูกตั้งคำถามว่าเมื่อไรจะเติมความคงเส้นคงวาให้ต้นสังกัดได้เสียที ในเมื่อ แมนยูยังเล่นเหมือนจับจังหวะไม่ได้ บทจะดีก็ดีใจหาย แต่ส่วนใหญ่จะเจอบทร้ายมากกว่า เมื่อทุกอย่างไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ ตามความคาดหวังของกองเชียร์ ประวัติเก่า ๆ ของสโมสรเริ่มถูกขุดคุ้ยมาเพื่อเปรียบเทียบและก็ได้คำตอบที่ มูรินโญ่อยู่ในข่ายงานเข้า หลังจากถลุงงบจากคลังไปแตะหลัก 150 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา จากการสอยนักเตะระดับเวิลด์ คลาส อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ปอล ป็อกบา, เฮนริค มคิตาร์ยานและ อีริค ไบญี่ แต่ผลประกอบการในเชิงลูกหนังกลับไม่ัจัดหนัก เหมือนกับจำนวนเงินลงทุนที่เสียไป แต้มสะสม ณ ปัจจุบันของ แมนยูไนเต็ดหลังผ่านพรีเมียร์ลีก 7 แมตช์ สุทธิอยู่ที่ 13 คะแนนจากผลงานชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 2 รั้งอันดับ 6 ของตาราง หากมองผิวเผินอาจไม่ได้แย่ถึงขั้นน่าเกลียด แต่พอมีผลงานเก่าของ หลุยส์ ฟาน กัลยกมาเทียบ ทุกอย่างก็กระจ่างขึ้น ณ จุดนี้ของซีซั่นก่อน ขุนพล "ปีศาจแดง" ในเวอร์ชั่น ฟาน กัลเปลี่ยนโอกาสลงสนาม 7 นัดเป็น 16 คะแนน มากกว่าทีมชุดปัจจุบันของ มูรินโญ่ 3 แต้ม ขณะที่แผงรุกได้โคตรกองหน้าระดับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิชกับ ป็อกบามาช่วยคุมเกม แต่กลับผลิตสกอร์ได้ 13 ประตู มากกว่าแนวรุกฤดูกาลก่อนประตูเดียว ข้อแตกต่างอีกอย่างระหว่างทีม 2 เวอร์ชั่นของ 2 เทรนเนอร์มือเก๋า ชี้ขาดกันด้วยแนวรับ โดยรูปแบบการเล่นที่ถูกวิจารณ์ว่าน่าเบื่อของ ฟาน กัล เสียแค่ 5 ลูกใน 7 เกมแรกของเทอมก่อน ส่วน มูรินโญ่ที่ได้รับฉายา "เจ้าพ่อรถบัส" ตอนอยู่ เชลซีและ อินเตอร์ กลับไม่สามารถร่ายมนต์ความเหนียวให้เกมรับ "ปีศาจแดง" โดยเสียไปถึง 8 ประตู มากกว่า แมนซิ, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล, เอฟเวอร์ตัน, เวสต์บรอมวิชหรือแม้แต่ เซาท์แฮมป์ตัน ย้อนกลับไปประเด็นข้างต้นเรื่องเกมทีมชาติ เพราะความเสียหายที่กล่าวถึงทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นหลังการกระจายตัวไปรับใช้ชาติ จะว่าไปช่วงเริ่มแรกระบบหลังบ้าน แมนยูไนเต็ดยังสอบผ่านฉลุย เพราะชนะ เลสเตอร์, บอร์นมัธ, เซาท์แฮมป์ตันและ ฮัลล์ โดยเสียแค่ 2 ลูกจาก 4 เกม แสดงว่าการฟื้นฟูสภาพนักเตะหลังกรำศึกให้บ้านเกิดนั้นสำคัญแน่นอน เพราะหากปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยต้นเดือนก่อน มีหวังผลงานของ แมนยูไนเต็ดได้หลุดออกทะเลไกลอีกครั้งและหลังจากนี้มีแต่ด่านอรหันต์รออยู่ ลิเวอร์พูลในศึกแดงเดือด ต่อเนื่องด้วยคิวต้อนรับ เฟเนร์บาห์เช่ถ้วย ยูโรป้า ลีก เท่านั้นไม่พอถัดจากนั้นมีบิ๊กแมตช์กับ เชลซี ปิดท้ายด้วยห้ำหั่น ลีก คัพ รีแมตช์ล้างแค้นกับ แมนฯซิตี้อีก แค่เห็นโปรแกรมก็แทบร้องซี๊ดและหากยังเล่นได้เหมือนตอนล้ามาจากทีมชาติหนก่อน แทบไม่อยากคิดภาพเลยว่าบทลงเอยของ แมนยูไนเต็ดส่งท้ายเดือนตุลาคมนั้นจะเป็นอย่างไร อย่าลืมเอาใจช่วย "ปีศาจแดง" กัน เริ่มต้นตั้งแต่ "เร้ด วอร์" กับ ลิเวอร์พูลในวันที่ 18 ตุลาคมนี้